วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

The Host นิยายวิทยาศาสตร์สำหรับคนไม่ชอบวิทยาศาสตร์


หนึ่งในหนังสือที่เพิ่งอ่านจบไปเมื่อเร็วๆ นี้ แล้วยังพอจดจำได้ ก็เห็นจะเป็นเรื่องนี้นี่ล่ะค่ะ "ร่าง... อุบัติรักข้ามดวงดาว" หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า "The Host" ผลงานของสเตฟาีนี เมเยอร์ เจ้าเ่ก่านั่นเอง ฉบับภาษาไทยจัดพิมพ์โดย สนพ. เนชั่น

หลังจากประสบความสำเร็จถล่มทลายกับซีรี่ส์แวมไพร์ทไวไลท์ คนอ่านทั่วโลกก็คงสงสัยว่าแล้วต่อจากนี้เธอจะเอาอะไรหากินได้อีกล่ะ ก็ซีรีส์ชุดนี้น่ะยิ่งเขียนก็ยิ่งออกทะเล แต่เราก็ยังต้องตามซื้อกันล่ะนะ แหม.. ก็เอ็ดเวิร์ดออกจะหล่อซะปานนั้น เบลล่าก็น่ารักขนาดนี้ จะไม่อดใจเชียร์ได้ไงไหวล่ะคะ

แต่มาถึงนวนิยายเรื่องล่าสุดก็ต้องถือว่าสเตฟานียังเอาตัวรอดไปได้สวยทีเดียว แม้เนื้อหาในเ่ล่มจะยังคงวนเวียนอยู่กับอมนุษย์ แต่คราวนี้เธอเปลี่ยนแนวมาเขียนนิยายไซไฟ ว่าด้วยโลกในอนาคตที่ถูกเหล่า "วิญญาณ" ต่างดาวบุก และเข้าสิงครอบครองร่างของมนุษย์ มีเพียงร่างเท่านั้นที่ยังดำเนินไปตามชีวิตปกติประจำวัน แต่ความคิดจิตใจนี่ซิกลายเป็นของใครก็ไม่รู้!!? จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็แตะๆ อภิปรัชญาเชียวนะ ใครว่าเจ๊เขียนเป็นแต่เรื่องรักหวานจ๋อย ไม่จริงซักกะหน่อย ฮิๆ :-)

เรื่องราวทั้งหลายแหล่เริ่มต้นขึ้นเมื่อวิญญาณไม่สามารถครอบครองความคิดจิตใจของ "มนุษย์" เพศหญิงคนหนึ่งได้เต็มร้อย แถมยิ่งนานวันความคิดของร่างก็ดูจะยิ่งมีอิทธิพลแข็งแกร่งกว่า "วิญญาณ" เสียอีก วิญญาณที่ว่านี้ก็เป็นเพศหญิงเช่นกัน ฝ่ายที่ถูกครอบครองร่างคือ "เมลานี" ส่วนวิญญาณนั้น เธอไม่มีชื่อเป็นของตัวเอง แต่ีเพราะเธอเดินทางมาไกลแสนไกล และเคยอาศัยดวงบนดวงดาวแปลกประหลาดมามากมาย เธอจึงเรียกตัวเองว่า "แวนเดอร์เรอร์" (ผู้พเนจร)

ผลของการที่ "แวนเดอร์เรอร์" เข้าสิงร่างเมลานี ทำให้แวนเดอร์เรอร์เห็นภาพหลอนประหลาด เธอเห็นกระท่อมกลางดงหนามในทะเลทราย เห็นเด็กชายที่ชื่อเจมี่ และเห็นชายหนุ่มที่เพียงเห็นในภาพฝัน หัวใจเธอก็รู้สึกเจ็บปวด ผลก็คือ "วิญญาณ" เริ่มมีความคิดจิตใจเช่นเดียวกับเจ้าของร่าง เมื่อเมลานีคิด เธอก็คิดด้วย เมื่อเมลานีเจ็บ เธอก็เจ็บด้วย และเมื่อเมลานีรู้สึก "รัก" วิญญาณก็ "รัก" ด้วย!

ด้วยเหตุนี้ "แวนเดอร์เรอร์" จึงพาตนเองและเมลานีมุ่งหน้าออกเดินทางเพื่อตามหาบุคคลทั้งสอง ได้แก่ "เจมี่" ซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆ ของเมลานี และ "จาเร็ด" ชายหนุ่มที่เมลานีได้พบตอนที่คิดว่าทั้งโลกนี้ไม่มีใครเหลือรอดอีกแล้ว และเขาได้กลายมาเป็นรักแท้และรักเดียวตลอดกาลของเธอ (เิ่ริ่มฟังคุ้นๆ แมะ)

ทั้งสองสาว คือ เมลานี และแวนเดอร์เรอร์ ได้ร่วมทางมาด้วยกันจนได้พบกับมนุษย์กลุ่มใหญ่ ซึ่งทำให้พวกเธอประหลาดใจมากเพราะไม่คิดว่าจะมีมนุษย์เหลือรอดอยู่มากขนาดนี้ ที่นี่เองเมลานีได้พบกับ "จาเร็ด" อีกครั้ง แต่จาเร็ดไม่เชื่อว่าหญิงสาวที่เห็นคือเมลานี เขาปักใจว่าสิ่งที่อยู่ในร่างกายคือวิญญาณจากต่างดาว เป็นปีศาจร้ายที่มาพรากเอาตัวตนของคนที่เขารักไป จาเร็ดจึงเกลียดขี้หน้าเมลานียิ่งกว่าอะไรดี และกลายเป็นฝ่ายที่กลั่นแกล้งเมลานีโดยไม่ได้รู้ตัวด้วยซ้ำ!

ในช่วงแรกนั้น แวนเดอร์เรอร์ ต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่ร่วมกับมนุษย์ที่ไม่เชื่อว่าวิญญาณจะโผล่มาโดยไม่มีจุดประสงค์ร้าย แวนเดอร์เรอร์จึงต้องเผชิญกับความจงเกลียดจงชังจากมนุษย์ และพยายามทำให้พวกเขายอมรับเธอให้ได้ ระหว่างนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าเมลานียังมีชีวิตอยู่ ในที่สุดธรรมะก็ชนะอธรรม ความดีของแวนเดอร์เรอร์เอาชนะใจคนส่วนใหญ่ได้ และถึงขนาดมีชายหนุ่มแสนดีมาหลงรัก มิไยที่เธอจะพร่ำบอกว่าเขาหลงรักแค่เพียงรูปกายของเมลานี ตัวจริงของเธอนั้นเป็นแค่ตัวหนอนสีเงินแสนน่าเกลียดน่ากลัวในสายตาชาวโลก ชายหนุ่มก็ไม่สนใจ เขาพร่ำว่าเขามิได้หลงรักรูปกายหากเป็นความคิดของเธอ เขามิได้หลงรักเสียงของเธอ แต่เป็นสิ่งที่เธอพูด... อ่านแล้วได้แต่อุทานในใจว่า แม่เจ้าโว้ย! 555

ระหว่างนั้น ก็มีคนบางคนรวมถึงจาเร็ดที่เริ่มระแคะระคายว่าเมลาีนีอาจคงยังมีชีวิตอยู่ และเริ่มทำดีกับแวนเดอร์เรอร์ ที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อใหม่เีสียไพเราะเพราะพริ้งว่า "แวนด้า" เธอเริ่มรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขอชุมชนเล็กๆ แห่งนี้ ทุกอย่างกำลังจะไปได้สวยทีเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะเมลานีกำลังจะหายไป!

"แวนด้า" สังเกตว่าเมลานีพูดกับเธอน้อยลงๆ จนวันหนึ่งก็หายไปเลย สิ่งนี้ทำให้แวนด้าตื่นตระหนกจนต้องไปขอความช่วยเหลือจาก จาเร็ด โดยให้เขาช่วย "จูบ" เธอหน่อย เพราะเธอแน่ใจว่าร่างกายของเมลานีจะมีปฏิกิริยากับเขาแน่ๆ (อย่าเพิ่งอ้วกซะก่อนนะ) ซึ่งก็ได้ผล เพราะเมลานีกลับมาในทันใด

เพื่อป้องกันไม่ให้ี่เมลานีหายไปอีกครั้ง แวนด้าต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่ เธอต้องเลือกว่าจะให้ "เมลานี" หรือ "เธอ" มีชีวิตอยู่ต่อไป เธอไม่อยากร่อนเร่ไปตามดาวต่างๆ อย่างโดดเดี่ยวอีกแล้ว จึงเลือกที่จะคืนร่างให้เมลานีโดยฝังร่างหนอนไร้ิวิญญาณของตนบนโลกมนุษย์

ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร แวนด้าจะต้องตายหรือไม่ ก็คงเป็นอย่างที่เราๆ รู้กันอยู่

ที่จริงผู้เขียนสามารถจบเรื่องโดยทิ้งคำถามไว้ให้คิดก็ได้ หรือจะปล่อยให้แวนด้าตายไปเลยก็ได้เหมือนกัน แต่กลับเลือกให้เรืื่องนี้จบลงอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง แถมยังให้แวนด้าเข้าไปสวมร่างสาวสวยผมทองอีกต่างหาก ซึ่งทำให้การตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ที่กล่าวถึงมาตลอดเรื่องดูเบาโหวงเหวงไปอย่างน่าเสียดาย...

อย่างไรก็ตาม ไม่อาจกล่าวได้ว่า The Host เป็นนิยายไซไฟ หรือนิยายวิทยาศาสตร์ได้เต็มปาก เนื่องจากมีเพียงฉากเท่านั้นที่กล่า่วถึงโลกในอนาคต กับการพูดถึงเอเลี่ยนหรือสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว แต่การดำเนินเรื่องนั้นไม่ได้ใช้หลักวิทยาศาสตร์ตรงไหน การบรรยายถึงลักษณะของดวงดาวต่างๆ ก็ออกแนวเลื่อนเปื้อนเสียมาก แต่นี่คงไม่ใช่เรื่องผิดมากมาย หากคิดว่าผู้เขียนไม่ได้ตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ให้เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ แต่เป็นนิยายรักที่มีฉากเกิดขึ้นในโลกอนาคตต่างหาก...


*หมายเหตุ* บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน นักอ่านท่านอื่นๆ อาจมีความเห็นแตกต่างกันไปก็ได้ ส่วนชื่อบทความนั้น ได้มาจากบทความภาษาอังกฤษจากเว็บไซต์หนึ่ง ที่ตอนนี้จำไม่ได้แล้วจ้ะ

--Published by Ketto @ Ketto Book--

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ5 เมษายน 2554 เวลา 06:47

    แจ๋ว ค่ะ แต่จบเล่มเดียวเองหรอ น่าเสียดาย ถ้าเขียนเป็นสไตล์นิยายวิทยาศาสตร์ก็คงมีภาคต่อของ The Host แน่แน่

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ15 เมษายน 2556 เวลา 08:22

    หลงเข้ามาอ่าน เจอ spoil เต็มๆ

    ตอบลบ